วันเสาร์, กรกฎาคม 31, 2553

เห่ย


"ชั้นมันเห่ย"

บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้น
ไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เป็นความรู้สึกแบบนามธรรม
จะให้อธิบายก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถอธิบายออกมาได้หรือไม่
แต่ถ้ามาคิดๆย้อนไปแล้วว่าทำไมถึงคิดออกมาแบบนี้
อาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองมันน่าทุเรศ
ในบางครั้ง บางเวลา บางสถานที่ บางสถานการณ์

และความรู้สึกนี้มันมาจากไหน?

ไม่น่าจะพ้นไปจากเรื่องความขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา และความคิดมากของตัวเอง
ไม่โทษใครเลยในเรื่องนี้ เป็นเพราะตัวเองล้วนๆ
บางครั้งจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเห่ยซะไม่มี
อิจฉา เมื่อคนใกล้ชิดมีแต่คนรักใคร่
น้อยใจ เมื่อไม่มีคนให้ความสำคัญกับเรา
คิดมาก เมื่อมีทุกข์แต่ไม่ได้รับการเยี่ยวยา

บ่อยครั้งที่รู้สึกตัวอีกทีก็ได้แต่รู้สึกว่าตัวเองช่างเห่ยเสียจริงๆ
อิจฉา น้อยใจ คิดมาก ไปทำไม
เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่ทำให้เราเสียพลังไปอย่างสูญเปล่า
ดังนั้น จึงคิดว่าจะพยายามลดๆลงบ้าง แต่จะเลิกไปเลยคงไม่ได้
ก็เพราะว่า คน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ก็คงไม่มีทางที่จะลบความรู้สึกเหล่านี้ออกไปได้หมด
เพียงแต่จะควบคุมหรือคิดถึงมันได้มากหรือน้อยต่างกันก็เท่านั้น

ดังนั้น เมื่อเรารู้สึกตัวว่าเราเห่ย เราก็จะไม่เห่ยไปด้วยในเวลาเดียวกัน
เพราะการรู้ตัว คือ การมีสติ
รู้และแก้ไข คือ สิ่งที่ดี ถึงแม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ หรือเล็กน้อยแค่ไหน
การก้าวต่อไปข้างหน้า ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี

วันศุกร์, เมษายน 23, 2553

ไม่เข้าใจ และ ไม่แน่ใจ

ความรู้สึก (จากพจนานุกรม) หมายถึง การรู้ตัว, รู้ด้วยการสัมผัส, การเกิดอาการที่รู้ว่าเป็นสุขหรือทุกข์
ความรู้สึก (ในความคิดเห็นส่วนตัว) คือ สิ่งที่เปลี่ยนไปตามสภาพของจิตและใจ โดยมีองค์ประกอบอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทำให้เราคิดว่าการเปลี่ยนไปของความรู้สึกเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนเมื่อประสบกับเหตุการณ์บางอย่างที่ยากต่อการตัดสินใจ มันก็ทำให้เราถึงกับอยากจะหายไปจากตรงนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป

บางครั้งคนที่ใกล้ชิดเราที่สุดก็ดูจะเป็นคนที่ห่างไกลเราที่สุดได้เหมือนกัน
ความรู้สึกแบบนี้ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะรู้สึกเหมือนกันหรือไม่
แต่เรากลับรู้สึกถึงมัน ยิ่งเป็นช่วงเวลาอย่างนี้
ทำให้รู้สึกว่า คนที่เราคิดว่ารู้จักดี
จริงๆแล้วเขาอาจจะเป็นเพียงคนแปลกหน้าในช่วงเวลานั้น

การกระทำ (ในความคิดเห็นส่วนตัว) หมายถึง การลงมือทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งทำให้เกิดผลของการกระทำตามมา โดยจริงๆแล้วผู้กระทำอาจจะไม่ได้หวังในผลนั้นก็ได้

การกระทำของคนเราไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ย่อมเกิดผลที่ตามมาอย่างแน่นอน และไม่มีทางที่จะหยุดผลที่จะเกิดได้ หากแก้ไขการกระทำนั้นเพื่อหวังหยุดผล ก็จะเกิดผลของการกระทำใหม่ขึ้น ไม่รู้จบ

เมื่อความรู้สึก และ การกระทำ มาอยู่ด้วยกันแล้ว บางครั้งจึงเป็นเหตุให้การผลของการกระทำที่รุนแรงเกิดกว่าจะคาดคิด ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายที่ทวีคูณขึ้น และบางครั้งผลแห่งการกระทำนั้นก็อาจจะไม่ได้ไปไกลจากตัวเราเองสักเท่าไหร่

การเขียนสิ่งนี้ ก็เป็นเหมือนการเขียนเตือนตัวเอง
เนื่องจากกำลังคิดและกำลังตัดสินใจบางสิ่งที่อยู่ก้นบึงในหัวและใจอยู่ในขณะนี้

วันอาทิตย์, เมษายน 11, 2553

NEW BLOG



ตอนนี้ ได้เปิด blog เพิ่มที่ wordpress
เอาไว้เป็น web ที่รวบรวมผลงานของตัวเอง

ยังไงก็ฝากแวะเข้าไปชมได้นะค่ะ
ไหนๆก็ผ่านมาทางนี้แล้ว ^^


วันศุกร์, ธันวาคม 25, 2552

นินทา ความลับ และ ความไว้ใจ

คิดยังไง กับ คำว่า "นินทา" 

สำหรับบางคน มัน คือ เรื่่องสนุก
สำหรับบางคน มัน คือ การยอมรับ
สำหรับบางคน มัน คือ สิ่งเลวร้าย
สำหรับบางคน มัน คือ การแสดงออกทางความรักอย่างหนึ่ง
สำหรับบางคน มัน คือ ละคร
สำหรับบางคน มัน คือ บาป

และอื่นๆอีกมากมาย สำหรับใครบางคน
และเป็นที่แน่นอนว่า ทุกคน มักเคยทำมัน 
อย่างน้อยเราก็ยอมรับว่าเราชอบการนินทาอยู่ไม่น้อย
เพราะในวงของการนินทานั้น มักมีประเด็นที่ทำให้เราสนุก และคิดตามไปกับมันได้อย่างไม่เคอะเขิน หรือแม้แต่บางครั้ง มันยังทำให้เราได้คิดอะไร ได้มองย้อนกลับมาดูตัวเอง

แล้วคุณ คิด ยังไง กับ คำว่า "ความลับ" 

ความลับ คือ สิ่งที่ต้องการให้ใครบางคนล่วงรู้ 
ความลับ คือ สิ่งที่ใครบางคนอยากระบายเพื่อให้เกิดความสบายใจกับตัวเอง
ความลับ คือ สิ่งที่ใช้ความเชื่อใจ ความไว้ใจ เป็นเดิมพัน

และอื่นๆอีกมากมาย สำหรับคำว่า ความลับ

ทั้งสองคำนี้ดูจะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกัน คนละขั่ว
แต่สำหรับเราแล้ว ทั้งสองคำนี้ อยู๋ใกล้ชิดกันจนน่าตกใจ
อาจมีเพียงเส้นด้ายบางๆที่กั้นระหว่างคำทั้งสองนี้อยู่

ทุกครั้งที่เกิดการนินทานั้น ก็มีคำว่า ความลับ แฝงตัวอยู่ในนั้นเสมอ
และทุกครั้งที่การนินทานั้นก้าวต่อไป จาก ปากหนึ่ง สู่ อีก ปากหนึ่งนั้น 
ต้องใช้วิจารณญาณอย่างมากในการบอกต่อ เพื่อไตร่ตรองว่า 
เรื่องเหล่านั้นควรที่เขาคนนั้นควรจะรับรู้หรือไม่
ซึ่งหากไม่คิดตรึงตรองให้ดีแล้ว 
อาจจะทำให้เกิดความผิดหวัง และการผิดใจกัน ซึ่งนำไปสู่การไม่ไว้ใจอีกต่อไป

ความผิดหวังในที่นี้ หมายถึง ความผิดหวังในผู้ส่งที่ไว้ใจว่า ผู้รับจะใช้วิจาณญาณนั้นในการไตร่ตรองก่อนบอกต่อเช่นเดียวกับที่ผู้ส่งทำ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ทำให้นำไปสู่ความไม่ไว้ใจอีกต่อไป

ซึ่งความรู้สึกนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยากเหลือเกิน
ที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมามีสภาพดีดั่งเก่า
ทำให้เห็นว่า หากขาดหัวคิดในเรื่องนี้แล้ว จะเกิดผลที่ไม่สู้ดีนักตามมา

ซึ่งทำให้เราซึ่งเขียนเรื่องนี้ ไม่แน่ใจกับการไว้ใจใครได้อีก 
และทำให้คิดว่า การนินทา จริงๆแล้วก็มีศาสตร์ที่ควรเรียนรู้ เช่นเดียวกัน

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 24, 2552

เศษเสี้ยวของความจริง

เรื่องราวทั้งหลายในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากเศษเสี้ยวของความจริง 

ไม่มากก็น้อย

แต่ก็มีบางคนมักจะไม่ยอมรับว่า 
เศษเสี้ยวเหล่านั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง
มักจะปักใจเชื่อแต่สิ่งที่ตัวเองเชื่อ 
ตาบอดและไม่ยอมมองสิ่งที่เกิดขึ้นจากสายตาคนอื่น
จนกล่าวหาว่าเรื่องราวที่ได้รับฟังเหล่านั้น 
เกิดจากการที่สังคมไม่ยอมรับในตนเอง 
เกิดจากการใส่สี ตีไข่

ช่างน่าสงสาร 

หากยอมรับสักนิดกับความจริงที่เล็กน้อยเหล่านั้น
ชีวิตที่คิดว่า ขาดซึ่งการยอมรับ คงจะต้องพบกับความสุขอย่างแน่นอน
เพียงแต่เค้า นั้น ตาบอด สนิท เกินกว่าจะแก้ไข ได้
หาเรื่องที่จะมาเป็นกำแพงที่กั้นขวางความจริงเอาไว้เสมอ

หากได้อ่านบทความนี้อาจจะคิดว่า เรานั้นเกลียดคนๆนั้น
แต่เปล่า เราไม่ได้เกลียด และไม่เคยเกลียด หากแต่เป็นห่วงก็เท่านั้น
และเขา อาจจะคิดว่า เราเป็นคนที่แย่ ในสายตาของเขาก็เป็นได้ ....

วันอาทิตย์, ธันวาคม 20, 2552

^_^


ช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังทำ Thesis  ในหัวข้อเรื่อง มุมของการมอง
หลังจากส่งครั้งที่ 2 ไป ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะ ทำยังไงต่อดี
พอคิดไม่ออก ก็เลยมานั่งวาดรูปเล่นซะเยอะ 
เลยว่าจะเอามาอวดนิดนึง 






















































แล้วก็เพิ่งมาสังเกตุเห็นว่า ตัวเองใช้สีเขียวในเกือบทุกรูปที่วาดเลยแหะ ก็ตอนจะเอารูปลงนี้แหละ สงสัยว่าจะหลงใหลในสีเขียวเข้าให้แล้วจริงๆ และการวาดรูปเล่นๆที่ดูไม่มีอะไรนี่แหละที่ทำให้ฉันยิ้มได้ 

วันศุกร์, กันยายน 18, 2552

รองเท้า

การซื้อรองเท้าที่ใส่แล้วรู้สึก
เหมือนมันเป็นเพื่อนสนิทนี่ยากจริงๆ

จริงๆแล้วก็เปนคนที่มีรองเท้าเยอะมาก
แต่คู่ที่ใส่ประจำ ใส่แล้วรู้สึกสบาย สะดวกใจ
กลับมาอยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น และเมื่อวันเวลาผ่านไป
รองเท้าคู่นี้ก็ต้องพุพังไปตามกาลเวลา
และการที่จะหารองเท้าคู่ใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้
ก็ดูจะเป็นเรื่องยาก ซึ่งตลอดเวลาเดือนที่ผ่านมานั้น
ใช้เวลาในการช๊อปปิ้งไปกับการหารองเท้า
แต่จนตอนนี้ ก็ยังไม่เจอคู่ที่ถูกใจเสียที

ถูกใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแต่เพียง สวย ดูดี เท่านั้น
แต่มันเหมือนกันว่า ถูกชะตา เสียมากกว่า
แต่ละครั้งที่ได้รองเท้าที่ใส่ประจำนั้น
มักจะได้มาจากการถูกชะตากับมัน
ซึ่งแน่นอน ความสวย เรียบง่าย หรือใส่สบาย ก็ต้องมีอยู่ในนั้นด้วย

การเลือกรองเท้าที่ดี ก็ทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีด้วย
ดังนั้นเราจึงคิดว่า ไม่ใช่เรื่องตลกที่จะตามหารองเท้าคู่หนึ่งในระยะเวลานาน